วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

อนุทินครั้งที่ 10

วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561

แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ความหมายของสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมอาจแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
 1. สิ่งแวดล้อมภายในตัวบุคคล (implicit environment)  ได้แก่ การทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหารระบบขับถ่าย ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
 2. สิ่งแวดล้อมภายนอก (explicit environment) ได้แก่ สิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกกายของมนุษย์ เช่น วัตถุสิ่งของ คน พืช สัตว์ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดจากคนและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) ได้แก่ ศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคมด้วย
ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมมีความหมายและความสำคัญต่อเด็กเล็กคือ เด็กได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักบทบาทต่างๆ ในสังคม ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน กระบวนการของการอบรมให้คนเป็นสมาชิกของสังคมนั้น จะขึ้นอยู่กับเจตคติ ความคาดหวัง และค่านิยมของสังคมที่คนๆ นั้นเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากบทบาทที่แสดงอยู่เปลี่ยนไปก็จะส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายความว่าการกระทำของเด็กคนหนึ่งจะมีผลต่อคนที่อยู่รอบๆ ข้าง และผลจากการกระทำของคนที่อยู่รอบๆ ข้าง จะมีผลกระทบต่อเด็ก ทั้งนี้เพราะเด็กอยู่ในสังคม
ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการ
1. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน
2. ประสบการณ์ที่ได้จากการสร้างสัมพันธภาพในครอบค
รัว
3. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากสัมพันธภาพทางสังคม
4. ประสบการณ์ที่ได้รับความสะเทือนใจมาตั้งแต่วัยเด็ก
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย
สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กโดยพฤติกรรมบางอย่างจะถูกกระตุ้นให้เร็วขึ้น โดยสิ่งแวดล้อมหรืออาจจะช้าลงถ้าเด็กไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสิ่งแวดล้อมจึงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งจัดเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางกาย
2. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม
3. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา
ตัวอย่างการจัดมุมประสบการณ์ในห้องเรียน

การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาเด็กปฐมวัย
1. การจัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนเป็นการจัดวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่มีลักษณะ และคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการกระทำกิจกรรมภายในอาคาร และภายในห้องเรียน
2. การจัดสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียนครูผู้จัดจะต้องพิถีพิถันในการพิจารณาวางแผนอย่างดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการจัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน สอดคล้องและเสริมประสบการณ์ โดยใช้พื้นที่นอกห้องเรียนเป็น 2 ส่วน คือ
  2.1 สนาม
  2.2 สวนในโรงเรียน
สมองกับการเรียนรู้โดยใช้สื่อและการจัดสภาพแวดล้อม
การเลือกสื่อและการจัดสภาพแวดล้อมสำหรับเด็กปฐมวัยตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาการและการทำหน้าที่ของส่วนต่างๆ ในสมอง  (Brain - Based Learning)
  1. สื่อ  1.1 เพลง 1.2 เครื่องดนตรี 1.3 หนังสือ
การจัดสภาพแวดล้อม
1. สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนต้องปลอดภัย สะอาด ดึงดูดใจ และกว้างขวางพอกับสนามเด็กเล่น
2. พื้นที่จัดกิจกรรมต้องกำหนดให้ชัดเจนเด็กต้องมีพื้นที่ที่สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆหรือกลุ่มใหญ่
3. พื้นที่สำหรับเด็กต้องจัดให้สะดวกสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ อาจจัดเป็นกลุ่มเล็กหรือรายบุคคล
4. สีที่ใช้ทาห้องเรียนและอาคารควรใช้สีที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ เป็นสีอ่อนเย็น เช่น สีเขียว (ก้านมะลิ) สีฟ้า (เทอร์ควอยซ์) สีเหลือง (อ่อน) เป็นต้น
5. สื่อหรืออุปกรณ์ต้องเหมาะสมกับวัยของเด็ก มีปริมาณเพียงพอ มีหลากหลาย และมีความทนทาน
6. จัดหาที่ให้เด็กได้เก็บของใช้ส่วนตัวเป็นสัดส่วนชัดเจน
7. ต้องจัดมุมสงบไว้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร
8. สภาพแวดล้อมควรมีส่วนที่อ่อนนุ่มบ้าง เช่น พรม เบาะสนามหญ้า
9. ใช้วัสดุดูดเสียงเพื่อลดเสียงดังเพราะเสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้เด็กเหนื่อยและเครียดได้
10. พื้นที่นอกอาคารควรมีพื้นผิวหลายประเภท
11. ห้องน้ำ ห้องส้วม ควรจัดอย่างเหมาะสมกับตัวเด็กและถูกสุขลักษณะ
12. สภาพของห้องและบริเวณอาคารควรจัดให้ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ
13. เครื่องเล่นสนามต้องมีความปลอดภัย
14. ขยะและน้ำโสโครก มีกำจัดขยะทุกวันหรือเป็นประจำ
15. สถานที่เตรียมและปรุงอาหารทำด้วยวัสดุถาวร แข็งแรง
16. สถานที่รับประทานอาหารตัวอาคารไม่อับทึบไม่มีหยากไย่มีแสงสว่างเพียงพอ พื้นที่ทำด้วยวัสดุแข็ง



การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมในเด็กปฐมวัย
ความหมายของคำว่า จริยธรรมไว้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้
“จริยธรรม คือ หลักแห่งการประพฤติ ปฏิบัติที่ดี ที่เหมาะที่ควร”
“จริยธรรม คือ หลักคำสอนที่ว่าด้วยแนวทางการประพฤติที่เป็นหลักการและเป็นที่ยอมรับนับถือ”
  ส่วนความหมายในแง่ของการนำไปสู่การปฏิบัตินั้น จริยธรรม มีความหมายตามที่เข้าใจโดยทั่วไปว่า จริยธรรม เป็นแนวทางที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการประพฤติ ปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยการปฏิบัตินั้นจะทำในสิ่งที่สังคมยอมรับและเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม บุคคลที่มีความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม สังคมยอมรับ ทำให้เกิดความมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม เรียกว่าเป็นผู้ที่มีจริยธรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่มีจริยธรรม คือ บุคคลที่มีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี นั่นเอง

  
ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบอร์ก




โคลเบอร์ก เป็นนักจิตวิทยาที่อธิบายถึงจริยธรรมของคนที่พัฒนาขึ้นไปพร้อม ๆ กับความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ ระดับกฎเกณฑ์สังคม และระดับเลยกฎเกณฑ์ของสังคม สำหรับเด็กปฐมวัย จะอยู่ในขั้นแรกของทฤษฎีคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ เด็กวัยนี้จึงตัดสินความถูกผิดจากความรู้สึกของตนเอง และตามกฎเกณฑ์ที่ ผู้อื่นกำหนดโดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การหลีกเลี่ยงการลงโทษและการทำตามคำสั่ง(Punishment and obedience oreintation) เด็กวัยนี้จะประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะหลีกเลี่ยงการลงโทษ ความถูก ผิด ตัดสินโดยพิจารณาผล ถ้าถูกลงโทษถือว่าทำไม่ดี เด็กวัยนี้จึงยังไม่มีเหตุผลในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากปฏิบัติตามคำสอนของผู้ใหญ่
ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังรางวัลส่วนตัว (Personal reward Oreintation) เด็กจะนำความต้องการของตนมากำหนดสิ่งที่ถูกและผิด ถ้าหากปฏิบัติสิ่งใดแล้วได้รางวัลก็จะยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นการชมเชยและให้รางวัลเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม จึงเป็นวิธีสอนจริยธรรม ความประพฤติให้กับเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถตัดสินสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยเหตุผลของตนเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้จริยธรรมด้วยการกระทำตามแนวคิดของสกินเนอร์



สกินเนอร์ (Skinner) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม เป็นผู้เสนอทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับสถานการณ์เดิมถ้าเกิดขึ้นอีกจะเรียกผลพฤติกรรมนั้นว่า การเสริมแรงทางบวก แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นอีกเรียกผลของพฤติกรรมนั้นว่า การลงโทษ การอธิบายถึงการเรียนรู้ด้านจริยธรรมผ่านกระบวนการเสริมแรงและการลงโทษหากเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดีแล้วได้รับการชมเชยยกย่องคือเด็กจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีกแต่หากแสดงพฤติกรรมใดแล้วถูกลงโทษเด็กจะระงับหรือหยุดการกระทำนั้นๆ ดังนั้นการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมของเด็กจึงขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่จะตัดสินว่า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เหมาะสม แล้วนำมาใช้ในการอบรมปลูกฝัง
ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดของแบนดูรา



แบนดูรา (Bandura) นักจิตวิทยาสังคม อธิบายว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนในสังคมเกิดจากการเรียนรู้ โดยการสังเกตจากตัวแบบ ทั้งตัวแบบในชีวิตจริง หรือตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้ตัวแบบจะทำหน้าที่ทั้งสร้างหรือพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรม และจะทำหน้าที่ในการระงับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เด็กปฐมวัยจึงเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมจากตัวแบบผู้ใหญ่และสังคมจึงเป็นตัวแบบที่เด็กดูสังเกตและลอกแบบการสอนจริยธรรมในแนวคิดนี้คือการสร้างและเลือกตัวแบบที่ดีให้เด็กได้สังเกต สำหรับกระบวนการในการพัฒนาการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดนี้มี  4 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการตั้งใจ
ขั้นตอนที่ 2 กระบวนการเก็บจำ
ขั้นตอนที่ 3 กระบวนการกระทำ
ขั้นตอนที่ 4 กระบวนการจูงใจ 
วิธีการสอนจริยธรรมในเด็กปฐมวัย เมื่อเลือกพฤติกรรมจริยธรรมที่ต้องการพัฒนาให้เด็กปฐมวัยได้แล้ว ผู้สอนจะนำทฤษฎีการพัฒนาจริยธรรม มาสู่การออกแบบการสอน ดังนี้
1. การใช้วิธีการให้รางวัลและการลงโทษ ทั้งนี้การให้รางวัลมิได้หมายถึงการให้สิ่งของที่เด็กพึงพอใจเสมอไป การให้รางวัลในที่นี้หมายรวมถึงการให้คำชมเชย ยกย่อง ยอมรับ การแสดงความชื่นชมที่เหมาะสม   ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป ส่วนการลงโทษก็มิได้หมายถึงการทำโทษทางกายและทางใจให้เด็กเจ็บปวด หรืออับอายขายหน้า อาจเป็นเพียงการงดหรือยกเว้นสิทธิบางอย่าง การไม่ให้ความสำคัญ หรือลดความสำคัญลง ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการชี้แจงให้เหตุผล ทั้งนี้ ข้อแนะนำในการให้รางวัลและการลงโทษนั้นมีดังนี้
1.1 ต้องยึดหลักความชัดเจนของข้อกำหนดว่าสิ่งใดเป็นพฤติกรรมดีหรือไม่ดี และต้องให้เด็กรับทราบ
1.2 ยึดความเป็นระบบ โดยกำหนดขั้นตอนการดำเนินการชัดเจนว่า เมื่อใดจะได้รางวัล และเมื่อใดจะมีผลถึงการลงโทษ
1.3 ยึดหลักความสม่ำเสมอ โดยต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการให้รางวัลและการลงโทษ
1.4 ยึดหลักความทันที โดยต้องตอบสนองทันทีที่เด็กแสดงพฤติกรรม เพื่อให้รับรู้ผลการกระทำของตน
2. การใช้ตัวแบบ หลักการสำคัญของตัวแบบคือ ต้องเลือกตัวแบบที่เด็กสนใจ ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะลอกเลียนแบบ และการใช้ตัวแบบนั้นจะต้องให้เด็กได้เผชิญกับตัวแบบที่แสดง พฤติกรรมที่พึงประสงค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเด็กจดจำพฤติกรรมได้
3. การสอนโดยการให้แสดงความคิดเห็นในสถานการณ์ที่มีข้อขัดแย้งทางจริยธรรม ทั้งนี้ในระดับปฐมวัย อาจใช้สถานการณ์ที่เด็กพบในชีวิตประจำวัน หรือใช้นิทาน แล้วให้เด็กแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งวิธีการนี้แม้จะไม่เป็นไปตามแนวคิดในทฤษฎีทางจริยธรรมที่ระบุว่าเด็กปฐมวัย ยังไม่สามารถตัดสินความถูกผิดทางจริยธรรมได้ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง มักระบุเหตุผลตามการรับรู้ของตนมากกว่าข้อเท็จจริง แต่การสอนโดยการให้แสดงความคิดเห็น ครูจะใช้การกระตุ้นให้เด็กได้ฝึกคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมในขั้นที่สูงกว่าเดิม เพื่อให้เด็กได้รับรู้เหตุผลตามความเป็นจริง
กระบวนการพัฒนาจริยธรรมในเด็กปฐมวัย
1. การรับรู้ เกิดจากการที่เด็กได้รับประสบการณ์จากสภาพแวดล้อมแล้วเกิดความเข้าใจ ยินดีที่จะเรียนรู้ และสนใจในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีการเตรียมตนให้พร้อมที่จะเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ
2. การตอบสนอง เมื่อได้รับรู้เรื่องที่สนใจแล้วเด็กจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ถ้าเป็นเรื่องที่ตรงกับความต้องการ จะมีการตอบสนองทางบวก เต็มใจที่จะตอบสนอง และมีความพึงพอใจในการตอบสนองในเรื่องนั้น
3. การสร้างค่านิยม เมื่อได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อมและได้ตอบสนองจะเกิดเป็นค่านิยม และหากค่านิยมนั้นเป็นสิ่งที่เด็กพึงพอใจ จะเกิดการยอมรับค่านิยม ทั้งนี้การยอมรับค่านิยม อาจจะมีมากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ ทั้งนี้เด็กอาจแสดงออกมาให้เห็นถึงการปฏิบัติซ้ำ ๆ จนเป็นที่สังเกตเห็นได้

4. การจัดระเบียบ หลังจากสร้างค่านิยม และยอมรับค่านิยมแล้ว จะนำมาคิดพิจารณาและรวบรวมค่านิยม นำมาจัดระบบระบบค่านิยม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามาก อาจจะยังยากที่จะสังเกตเห็นในระยะปฐมวัย
5. การสร้างลักษณะนิสัย เป็นขั้นตอนหลังจากนำค่านิยมที่ดีอย่างหลากหลายมาจัดเป็นระเบียบ และนำมาเป็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติ สร้างเป็นหลักยึดในการตัดสินใจ และแสดงถึงลักษณะนิสัย
8คุณธรรมพื้นฐาน 1.ขยัน 2.ประหยัด 3.ซื้อสัตย์ 4.มีวินัย 5.สุภาพ 6.สะอาด 7.สามัคคี 8.มีนำ้ใจ
บรรยากาศการเรียน


  สิ่งที่ได้รับในการเรียน
เนื้อหาการเรียนที่เยอะขึ้น ทำความเข้าใจได้ 
ในการจัดมุมประสบการณ์ สภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาเด็กปฐมวัย
ความรู้ของทฤษฏีจริยธรรมตามแนวคิดจริยธรรมของโคลเบอร์ก สกินเนอร์ แบนดูรา
ที่หลากหลาย
ประเมินตนเอง มีความตั้งใจเนื้อหาการสอน เป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติ เรียนรู้ไว้เป็นเบื้องต้นเพื่อนำไปใช้จัดการเรียนเด็กปฐมวัย 
ประเมินเพื่อน ตั้งใจมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีจริยธรรมที่จอจ่ออยู่กับเนื้อหา ถาม-ตอบซึ่งกัน
ประเมินอาจารย์ มีความตั้งใจการสอนเป็นอย่างดี เพิ่มเติมความรู้เนื้อหาได้อย่างหลากหลาย ตรงประเด็ด เปิดโอกาสตามอัธยาศัยต่อนักศึกษาในการเรียนที่ดี
ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมเอื้อต่อการเรียนการสอน การถาม-ตอบอาจารย์ต่อนักศึกษา
และทำความเข้าใจไปพร้อมกันสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวิชาคือการที่อาจาร์ฝึกให้แสดงจุดยืนเราว่า
เรามีความคิดเห็นกับเพื่อนหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ความคิดเห็นระหว่างกันภายในห้องที่มีส่วนร่วมและร่วมมือต่อกันเพียงใด


อนุทินครั้งที่ 8

วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


จับลำดับเสนองานกลุ่มวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็ก 4วิธี
วิธีที่1การอบรมเลี้ยงดูแบบความรักความอบอุ่นแบบประชาธิปไตย
วิธีที่2การอบรมเลี้ยงดูแบบคาดหวังเอากับเด็ก
วิธีที่3การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย
วิธีที่4การอบรมเลี้ยงดูแบบรักถนอมมากเกินไป

บทที่ 5 การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
รูปแบบของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
การอบรมเลี้ยงดูเด็ก หมายถึงการที่บิดามารดาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเลี้ยงดูเด็กปฏิบัติต่อเด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาซึ่งผู้อบรมต้องอบรมด้วยความรัก ความเข้าใจและปรับวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสมให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นคนดี
ความสำคัญของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
คุณภาพและประสิทธิภาพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของแต่ละคนตามวัยต่างๆโดยเฉพาะบุคคลในวัยทำงานนั้นจะมีคุณภาพและประสิทธิภาพเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ การฝึกฝนและประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่แรกเกิดถึงวัยปัจจุบัน การเรียนรู้ครั้งแรกของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่โดยถือว่าพ่อแม่คือครูคนแรกของลูก
ความจำเป็นที่ต้องมีพ่อ
1.เด็กต้องเห็นแบบอย่างของผู้ใหญ่ชาย
2.พ่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกชาย
3.เด็กหญิงจะได้รู้จักบทบาทของผู้ชาย
4.พ่อช่วยปลูกฝังลักษณะทั่วไปให้แก่ลูกคือความเข้มแข็งบึกบึน
5.พ่อที่สนิทสนมกับลูกชายมีโอกาสที่จะพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชาย
6.ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกชายกับพ่อ จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้วิธีผูกมิตรไมตรีกับชายอื่นที่เขาต้องสมาคมด้วย
7.ความเข้มแข็งเป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้นำในเรื่องต่างๆ
ความจำเป็นที่ต้องมีแม่
1.คอยดูแลลูกให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน
2.ช่วยปลูกฝังนิสัยการกินที่ดี
3.สอนให้รักษาความสะอาด
4.คอยฝึกฝนกิริยามารยาทที่ดีงาม
5.สอนให้ลูกรู้จักเก็บรักษาสมบัติฝึกความเป็นระเบียบเรียบร้อย
6.เป็นแบบอย่างความเป็นผู้หญิงแก่ลูก
7.ลูกสาวจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดมีค่าสำหรับผู้หญิงจากแม่และต้องพยายามหามาให้เป็นของตน
บทบาทและหน้าที่ของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
1.มีเจตคติที่ดีต่อเด็ก
2.สนองความต้องการของเด็กในทุกด้าน
3.ถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีให้กับเด็ก
4.ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อบุคคลและสิ่งต่างๆ
5.ส่งเสริมความสนใจของเด็ก
6.ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา
7.สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่เด็ก
8.ทำตัวเป็นครูของลูก 9.การให้แรงเสริมและการลงโทษ

อิทธิพลของการเลี้ยงดูที่มีผลต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพ
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยคำตำหนิ เขาก็จะเป็นคนล้มเหลว
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความก้าวร้าว เขาก็จะเป็นคนที่แข็งกร้าว
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยคำเย้ยหยัน เขาก็จะเป็นคนขลาดอาย
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความละอาย เขาก็จะเป็นขี้หวาดระแวง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความมานะ เขาก็จะเป็นคนที่อดทน
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความชื่นชม เขาก็จะเป็นคนซึ้มในคุณค่า

ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการให้กำลังใจ เขาก็จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตน

ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความยุติธรรม เขาก็จะเป็นคนที่รักความยุติธรรม
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความรักความอบอุ่น เขาก็จะเป็นคนมีศรัทธาในชีวิต
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการยอมรับ เขาก็จะเป็นคนที่พอใจในตนเอง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความเป็นมิตร เขาก็จะเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความรัก และเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
ความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
หมายถึง ความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกและความรู้สึกที่ลูกมีต่อพ่อแม่นั่นเอง เด็กแต่ละคนอาจจะมีความรู้สึกต่อพ่อแม่ต่างกันเช่น มีคำกล่าวว่าลูกสาวมักจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อมากกว่าแม่หรือลูกชายมักจะใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่มากกว่าพ่อ เป็นต้นนอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกมักจะขึ้นอยู่กับเจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูกทั้งนี้เพราะพ่อแม่มีเจตคติต่อลูกอย่างไรก็จะปฏิบัติต่อลูกในทำนองนั้น
เจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก 6แบบ
1.พ่อแม่ที่รักและคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ลูกมากเกินไป
2.พ่อแม่เอาใจลูกเกินไป
3.พ่อแม่ที่ทอดทิ้งเด็ก
4.พ่อแม่ที่ยอมรับเด็ก
5.พ่อแม่ที่ชอบบังคับลูก
6.พ่อแม่ที่ยอมจำนนต่อลูก
การอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยทารก
เด็กวัยทารก(lnfancy)นับตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาไปจนถึง2ปีเป็นวัยที่สำคัญที่สุดในการวางรากฐานสำคัญต่างๆของชีวิตในทุกๆด้านเป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดบิดามารดาผู้เลี้ยงดูจึงควรใช้ระยะเวลานี้เพื่อส่งเสริมให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นโดยตอบสนองความต้องการจำเป็นต่างๆเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา
การดูแลสุขภาพ                            การดูแลด้านโภชนาการ
1.การอาบน้ำ                                    ความต้องการอาหารของทารก โปรตีน พลังงาน วิตามิน เกลือแร่
2.การสระผม                                    1.เหล็ก
3.การเปลี่ยนผ้าอ้อม                        2.ไอโอดีน
4.เสื้อผ้าสวมใส่ควรสะอาด              3.แคลเซียม
5.ปากและฟัน                                  4.สังกะสี
การเลี้ยงทารกด้วยนมแม่ นมแม่เป็นนมที่เหมาะที่สุดในการเลี้ยงดูทารกในระยะแรกของชีวิตเพื่อการเจริญเติบโตและการสร้างภูมิต้านทานโรคด้วยเหตุผลต่างๆต่อไปนี้
1.คุณค่าทางโภชนาการของนมแม่ นมแม่แบ่งออกได้เป็น2ระยะ
-น้ำเหลือง เป็นนมที่ออกมาในระยะ2-4วันแรกหลังภายใน12-24ชั่วโมง  -นำ้นมแม่หลังคลอด 2-4วัน
2.ลักษณะที่ดีของนมแม่
2.1นมแม่มีสารอาหารครบถ้วน 2.2นมแม่สะดวกไม่ต้องเสียเวลาชงนม
2.3นมแม่สะอาดและปลอดภัย 2.4นมแม่มีสารป้องกันการติดเชื้อ
2.5นมแม่ลดอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ 2.6นมแม่ไม่ทำให้ลูกอ้วน
2.7นมแม่มีผลดีต่อจิตใจ 2.8นมแม่มีผลดีต่อแม่ทำให้มดลูกแม่เข้าอู่เร็ว
3.หลักการในนมทารกด้วยนมแม่
3.1การเตรียมตัวของแม่ก่อนคลอด ควรมีการออกกำลังกายและเตรียมใจไว้ด้วยการเตรียมหัวนม
3.2การให้นมลูก อาจให้ทุก 3-4ชั่วโมงหรือตามความต้องการของลูกก็ได้
4.การให้นมผสม การเลี้ยงลูกด้วยนมผสมก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากในครอบครัวปัจจุบันที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านหรือไม่มีนำ้นมหรือเวลาในการเลี้ยงดูลูก แม่จึงควรมีความรู้การให็นมผสม
4.1ชนิดของนำ้ผสม นมผงคล้ายนมมารดา นมผงครบส่วน นมข้นจืด นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว
4.2ปริมาณนมผสมสำหรับทารก
4.3วิธีให้นมผสมหรือนมขวด ไม่ควรใช้ผ้าหรือหมอนรองหนุนขวดให้เด็กทารกนอนดูดได้
4.4การชงนม สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ ความสะอาด นมที่ชงมื้อต่อมื้อ
4.5การทำความสะอาดขวดนมและหัวนม สามารถทำได้โดยการนำขวดนมทั้งชุดไปต้ม
ปัญหาเด็กวัยทารก
ปัญหาจากการร้อง ปัญหาเกี่ยวกับการนอน ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง
ปัญหาเกี่ยวกับปากและนัยน์ตา และปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ


การอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยก่อนเรียน
เด็กวัยก่อนเรียน(preschool child)หรือเด็กวัยตอนต้น(early childhood)มีอายุ2-5ปีเด็กวัยก่อนเรียนเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตเพราะเป็นวัยทองของการวางรากฐานบุคลิกภาพของมนุษย์ระยะนี้เป็นระยะที่เกิดการเรียนรู้มากที่สุดในชีวิต ช่วงพัฒนาการที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างบุคลิกภาพให้แก่เด็ก เด็กจะเป็นคนอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูในวัยนี้เป็นสำคัญ
การสร้างระเบียบวินัย มีหลักสำคัญ4ประการ
1.เด็กต้องการประพฤติในสิ่งที่ดีและขจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
2.เด็กต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความพึ่งพอใจกับการกระทำดีและไม่พึงพอใจกับการกระทำที่ไม่ดี และหลีกเลี่ยงการกระทำนั้น
3.เด็กต้องการทำความดีจนกระทั่งเกิดความเคยชินหรือเกิดเป็นนิสัยโดยไม่ต้องมีใครแนะนำ
4.เด็กต้องเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีไม่พึงปรารถนาเป็นพฤติกรรมที่ดีที่พึงปรารถนาของสังคม
การฝึกวินัย นักจิตวิทยาได้แยกการฝึกวินัยออกเป็น 2ประเภทใหญ่ๆ
การฝึกวินัยโดยใช้ความรักเป็นตัวนำ
การฝึกวินัยโดยใช้วัตถุเป็นตัวนำ
การวางกฎเกณฑ์
การช่วยให้เด็กรู้จักบังคับตนเอง
1.สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูก  2.ให้อิสรภาพแก่เด็ก
3.ไม่มอบความรับผิดชอบแก่เด็กจนเกินกำลัง  4.ช่วยให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ควรกระทำ
5.อธิบายคำถามต่างๆที่เด็กสนใจ  6.มีความนับถือในตัวเด็ก
7.ยกย่องชมเชยเด็กในโอกาสอันควร  8.อธิบายเหตุผลต่างๆให้เด็กก่อนที่จะให้ทำตาม
9.มีความคงเส้นคงวา
การปฏิบัติตนของพ่อแม่ในการฝึกวินัย
1.สร้างความศรัทธาให้แก่ลูกเสียก่อน  2.จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
3.ใช้อำนาจแบบอ่อนโยน  4.ไม่ใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผล
5.ออกคำสั่งในรูปการชักชวน  6.ไม่ควรขัดแย้งกันเองให้ลูกเห็น
7.ต้องตัดสินปัญหาร่วมกันได้  8.ไม่ควรให้เด็กทำอะไรเมื่อเค้าไม่พร้อม
9.ควรส่งเสริมให้รู้จักตัดสินในความคิด เมื่อลูกเริ่มรู้จักคิด  10.ให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
11.เพิ่มความเชื่อมั่นในตัวเองให้กับลูก
การฝึกลักษณะนิสัยที่ดี
1.การรับประทานอาหาร
2.การฝึกการขับถ่าย
3.การฝึกนิสัยการนอน
4.การฝึกนิสัยการอาบนำ้แต่งตัว
บทบาทของพ่อแม่ในการจัดสภาพแวดล้อม
1.จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ร่มรื่น สุขสงบ อบอุ่นและปลอดภัย
2.สร้างสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ให้เด็กสามารถดูดซึมค่านิยมที่ต้องการปลูกฝังเอง
3.จัดให้เด็กได้ใกล้ชิดกับบุคคลแวดล้อมที่เป็นตัวอย่างที่ดี
4.จัดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาหาประสบการณ์จากสถานที่สภาพแวดล้อมใกล้ๆตัว
5.แสวงหาแบบอย่างวัฒนธรรมที่ดีงามให้เด็ก
6.เสนอเหตุการณ์หรือเรื่องราวปัญหาที่แวดล้อมเด็กที่เด็กสนใจ นำมาสนทนากัน


การเลียนแบบของเด็กวัยก่อนเรียน แบ่งออกได้เป็น3 ลักษณะใหญ่ๆ
1.การเลียนแบบบทบาททางเพศ
2.การเลียนแบบส่วนตัวที่ไม่ใช่บทบาททางเพศ
3.การเลียนแบบกับการพัฒนาศีลธรรม
การสอนเรื่องเพศ
1.ควรทำแต่ยังเล็กโดยเริ่มจากให้เด็กทราบถึงความแตกต่างระหว่างร่างกายของตนเองกับเพศตรงข้าม
2.ผู้ใหญ่ควรฟังสิ่งที่เด็กถาม
3.คอยดูแลในเรื่องความเป็นอยู่หลับนอนของเด็กแต่ละคน
4.หากิจกรรมที่ให้เด็กมีเพื่อนหรืออยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่
5.เมื่อเด็กเกิดความสนใจหรืออยากรู้อยากเห็น ไม่ควรมีการลงโทษใดๆเพราะจะทำให้เกิดความกังวลหรือรู้สึกผิด
6.พ่อแม่ก็ควรจะพูดกับเด็กในเรื่องการเปลี่ยนแปลงเมื่อร่างกายโตขึ้น
การตอบคำถามเรื่องเพศ
เรื่องเพศเป็นเรื่องที่ควรอธิบายให้ทราบแต่อธิบายโดยใช้ข้อความสั้นๆวิธีตอบคำถามที่ดีที่สุด เราควรถามความเข้าใจของเด็กก่อนว่า เขาเข้าใจว่าอย่างไรก่อนให้คำตอบ นั้นอาจทำให้เด็กพอใจในช่วงเวลาสั้นๆเด็กอาจจะถามแบบเดิมอีก เราก็ควรให้รายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ปัญหาของเด็กก่อนวัยเรียน
1.ปัญหาด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต สาเหตุของปัญหาเกี่ยวข้องกับครอบครัวคือแม่ไม่นิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พ่อแม่เลี้ยงดูเด็กอย่างทารุณ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม
2.ปัญหาด้านโภชนาการ สาเหตุของปัญหาเกี่ยวข้องกับครอบครัวคือ แม่ขาดความรู้ด้านโภชนาการ นอกจากนี้เกิดจากพ่อแม่ขาดความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับอาหาร
3.ปัญหาด้านสติปัญญาและความสามารถพื้นฐาน สาเหตุของปัญหาคือ พ่อแม่ขาดความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็ก
4.ปัญหาด้านสังคม วัฒนธรรมและจริยธรรม สาเหตุของปัญหาเกี่ยวข้องกับครอบครัวคือ เด็กเป็นบุตรนอกสมรสและเกิดจากการตั้งครรภ์ที่พ่อแม่ไม่พึงปรารถนา พ่อแม่ขาดการศึกษาและขาดความรับผิดชอบครอบครัวแตกแยก


บรรยากาศการเรียนการสอน

สิ่งที่ได้รับในการเรียน
เนื้อหาที่อาจารย์ได้บรรยายมีเนื้อหาที่เยอะแต่เรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย
สอนได้ตรงประเด็ด ในการให้บทบาทสำคัญที่พ่อแม่ควรอบรมเลี้ยงดูเด็กทารก 
และเลี้ยงดูเด็กวัยก่อนเรียน
ประเมินตนเอง ตรงต่อเวลาเข้าเรียน มีความตั้งใจต่อการเรียน ทำความเข้าใจได้ง่าย มีใจจดจ่อต่อสิ่งที่อาจารย์อธิบาย
ประเมินเพื่อน ตั้งใจฟังอาจารย์สอนเรียนรู้พร้อมถาม-ตอบต่อกัน มีส่วนร่วมและแสดงออกความคิดเห็น
ประเมินอาจารย์ อธิบายเนื้อหาที่เรียนได้หลากหลาย ช่วนให้คิดเพิ่มเติมได้มากขึ้นพร้อมสร้างความเข้าใจได้ดี
ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมเอื้อต่อการเรียนการสอน การถาม-ตอบอาจารย์ต่อนักศึกษา
และทำความเข้าใจไปพร้อมกันสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวิชาคือการที่อาจาร์ฝึกให้แสดงจุดยืนเราว่า
เรามีความคิดเห็นกับเพื่อนหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ความคิดเห็นระหว่างกันภายในห้องที่มีส่วนร่วมและร่วมมือต่อกันเพียงใด


วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

อนุทินครั้งที่ 9

วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561  

สิ่งที่ได้รับในการเรียน
วันนี้เป็นการสอบ



เตรียมการสอบ
1.อ่านแนวข้อสอบให้เข้าใจ
2.รอเพื่อนๆเข้าสอบอย่างพร้อมเพียง
3.อาจารย์ได้ให้เวลาอ่าน ปรับเตรียมตัวในการทำข้อสอบ 5นาที
4.ข้อสอบเป็นแบบปรนัย เขียนให้สอดคล้องตรงตามหัวข้อที่กำหนด


บรรยากาศการในการเข้าสอบ
เริ่มสอบเวลา 9.30-11.30 น.


บรรยาการเพื่อนๆพร้อมทำข้อสอบ


ประเมินตนเอง รอเข้าสอบก่อนเวลา ตรงต่อเวลาสอบ อ่านเตรียมตัวมาได้ดีมีความเชื่อมั่นตั้งใจกับการสอบ คิดว่าการทำข้อสอบครั้งนี้หน้าพอใช้
ประเมินเพื่อน ส่วนใหญ่เข้าสอบได้ตรงต่อเวลา มีส่วนน้อยไม่กี่คนที่เข้าสอบไม่ตรงเวลา เตรียมความพร้อมได้ดีและตั้งใจ
ประเมินอาจารย์ ให้วิธีคิดแนวทางข้อสอบ อธิบายได้อย่างเข้าใจ ข้อสอบไม่ยากถ้าเตรียมพร้อมอ่านทำความเข้าใจมาดี เปิดโอกาสชักถามได้ก่อนลงมือสอบ ตรวจตาและเข้มงวดกับนักศึกษาที่สอบ

ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องสอบเหมาะสมเอื้อต่อการสอบ เปิดโอกาสการถาม-ตอบอาจารย์ต่อนักศึกษา
และทำความเข้าใจไปพร้อมกันก่อนลงมือทำข้อสอบ อย่างให้นักศึกษาได้เตรียมตัวและพร้อมเข้าสอบให้ตรงต่อเวลา และใช้เวลาในการทำข้อสอบให้คุ้มค่ามากกว่านี้ 



อนุทินครั้งที่6

วันอังคารที่13 กุมภาพันธ์ 2561


นักทฤษฏีพัฒนาการกับเด็กปฐมวัย
คาบเรียนนี้พรีเซนต์เนื้อหาความรู้นักทฤษฎีแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
ทฤษฎีพัฒนาการด้านจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ทฤษฎีพัฒนาการด้านจิตสังคมของอีริคสัน
ทฤษฎีวุฒิภาวะของกีเซล
ทฤษฎีพัฒนาการด้านความรู้คิดของเพียเจท์
ทฤษฎีพัฒนาการด้านจริยธรรมของโคลเบอร์ก
ทฤษฎีพัฒนาการด้านความคิดความเข้าใจของบรุนเนอร์



การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยเพื่อให้สมองทำงานได้ดี



เลี้ยงลูกอย่างไรให้สมองทำงานดี
1.กินอาหารดีดื่มน้ำมาก นอนหลับเพียงพอ
2.กระตุ้นประสาทสัมผัสผ่านการลงมือทำ
3.เล่านิทานจัดหาหนังสือที่หลากหลายให้กับลูก
4.เล่นสีและทำงานศิลปะ
5.ทำกิจกรรมดนตรีและการเคลื่อนไหว
6.เล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
7.ทำอาหารด้วยกัน
8.ปลูกผักสวนครัว
9.ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ
10.เล่นสมมติ
11.เล่นพัฒนาทักษะการคิด
12.ฝึกลูกทำงานบ้านและรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง
13.เปิดโอกาสให้ลูกได้แก้ปัญหาด้วยตัวเองบ้าง
14.สอนลูกให้มีจิตสาธารณะ
15.ให้การสนับสนุนสิ่งที่ลูกสนใจ
16.หลีกเลี่ยงการใช้สื่อ Online/Digital เมื่อมีลูกอยู่ข้างๆ
17.หลีกเลี่ยงการทำโทษลูกด้วยการใช้อารมณ์
18.สร้างบรรยากาศในครอบครัวให้สงบสุข
19.พูดคุยถึงอารมณ์และความรู้สึกกัน
20.กอด หอม ชมเชย
สมองลูกจะทำงานอย่างเต็มศักยภาพเพียง...
คุณใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ อยู่ด้วยกัน เล่นด้วยกันอย่างแท้จริง
พ่อแม่จัดประสบการณ์ และกิจกรรมที่หลากหลายให้ลูก
ในครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีลูกรู้สึกมั่นคงปลอดภัยทางจิตใจ



คลิปเพลง
เกมส์..ฟังเสียงเพลง โดยฟังว่าเสียงนี้คือเสียงของอะไรบ้าง ต้องรู้ให้ได้มากที่สุด
ใครรู้มากที่สุดรับดาวเด็กดีเป็นระดับมากและรองลงมา เสียงที่ฉันได้ยินมีดังนี้ 
• เสียงโทรศัพท์ • นกร้อง • รถ ไฟ • วัวร้อง • กบร้อง • รถมอเตอร์ไซร์ • นกอีการ้อง • รถไซเรน
• แพะร้อง • ไก่ขัน • เสียงกิ่ง • บีบแตรรถ • เครื่องบิน • ตีกล้อง • แมวร้อง • เสียงปรบมือ • กระดิ่ง
• เสือร้อง • เสียงเป่าลม • ช้างร้องและเสียงม้าร้อง
                                                     สิ่งที่ได้รับในการเรียน
                   ได้รับความรู้เพิ่มเติมของนักทฤษฎีที่มีเนื้อหาที่หลากหลายขึ้น ความร่วมมือตั้งใจ
                            ร่วมทั้งกิจกรรมเกมส์ที่มีส่วนช่วยสร้างไหวพริบ ฟังและจับประเด็ด
        ทำให้บรรยากาศในการเรียนไม่ดูน่าเบื่อ ให้สนุกเพลิดเพลินทำให้มีความหลากหลายในการเรียน    
ประเมินตนเอง ตรงต่อเวลาเรียน มีการเตรียมความพร้อมเสนองานกลุ่มได้ดี ร่วมมือต่อกัน เกมส์ที่ได้เล่นมีส่วนสร้างไหวพริบในการฟังเสียง สนุกและเพลิดเพลิน ได้ความรู้เพิ่มเติมเนื้อหาการเรียนการสอน
ประเมินเพื่อน กลุ่มที่เสนองานเพื่อนๆเตรียมความพร้อมเสนอได้ดี เนื้อหางานได้ความรู้ที่หลากหลายตั้งใจและมีส่วนร่วมต่อการเรียนวันนี้
ประเมินอาจารย์ สอนตรงตามเนื้อหามีการเรียนการสอนที่หลากหลายขึ้นทั้งเนื้อหาการเรียน เกมส์ฟังเสียง ให้ความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมเอื้อต่อการเรียนการสอน การถาม-ตอบอาจารย์ต่อนักศึกษา
และทำความเข้าใจไปพร้อมกันสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวิชาคือการที่อาจาร์ฝึกให้แสดงจุดยืนเราว่า
เรามีความคิดเห็นกับเพื่อนหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน แต่ละครั้งได้เสนองานเดี่ยวบ้างเป็นกลุ่มบ้าง
ช่วยฝึกความกล้าแสดงออก ร่วมทั่งการเรียนรู้ที่หลากหลายยิ่งขึ้น




อนุทินครั้งที่ 15

วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 เมนูอาหารโดยประกอบไปด้วยอาหารจานหลักและขนมหวาน ข้าวผัดปลาทูน่าหลายสี ส่วนผสม ข้าวสวย ปลาทูน่...